การพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วกว่า 900 กม./ชม เหนือพื้นดิน 10,000 เมตร ในก้อนโลหะที่เต็มไปด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงไวไฟนั้น ย่อมมีความเสี่ยงอย่างเลี่ยงไม่ได้ และยิ่งเสี่ยงหนักขึ้นไปอีกเมื่อมีใครบางคนพยายามยิงคุณให้ตกลงมา แต่ถ้าผู้บัญชาการอากาศยานกัปตันเบิร์ดและลูกเรือมีความกลัวขีปนาวุธพื้นสู่อากาศที่ขู่จะระเบิดพวกเขาจากท้องฟ้า แต่พวกเขาโยนความกลัวทิ้งไปเมื่อได้ยินคำขอเข้าสู่แนวข้าศึกของเวียดนามเหนือทางวิทยุจากหอบังคับการบิน เพื่อรักษาขบวนของเครื่องบินทิ้งระเบิด เอฟ-105 จำนวน 4 ลำไม่ให้หมดน้ำมัน แน่นอนว่านี้คือคำขอที่ผิดปกติเป็นอย่างมาก เนื่องจากฝ่าฝืนกฎของเครื่องบินที่ไม่ได้รับอนุญาต อย่างเช่น เครื่องบินบรรทุกน้ำมันที่ไม่มีอาวุธ ที่ขอเข้าไปในน่านฟ้าของเวียดนามเหนือ ไม่เพียงเป็นอันตรายทางกายภาพเท่านั้น แต่นักบินและลูกเรืออาจต้องเจอกับบทลงโทษขั้นรุนแรงถึงขั้นจบอาชีพได้เลยทีเดียวโทษฐานละเมิดกฎการบิน แต่หากนักบินซึ่งต้องการเชื้อเพลิงฉุกเฉิน ถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องดีดตัวออกจากเครื่องหลังจากเครื่องยนต์ดับ พวกเขาอาจบาดเจ็บ เสียชีวิต หรือเลวร้ายกว่า คือ ถูกทรมานในแคมป์นักโทษของเวียดนามเหนือเป็นเวลาหลายปี
แม้ไม่มีระบบป้องกันขีปนาวุธ หรือเครื่องบินรบคุ้มกัน แต่ต้นหน (เนวิเกเตอร์) คำนวณทิศทางและความเร็วของเครื่องบินได้อย่างแม่นยำ และลูกเรือได้เปลี่ยนเส้นทางบินของเครื่องบินเติมน้ำมันทางอากาศ เค-135 ไปสู่น่านฟ้าที่ไม่เป็นมิตรเต็มไปด้วยอันตรายเพื่อช่วยพี่น้องที่กำลังเดือดร้อนได้เติมเชื้อเพลิงช่วยชีวิต
ความกดดันสูงตกอยู่กับลูกเรือที่ต้องทำการบินที่ไม่อยู่ในแผนเพื่อเลี่ยงจุดที่ตั้งขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ ในขณะที่ต้องรักษาความเร็วของเครื่องบินทั้งหมดให้บินด้วยกันที่ระดับความเร็วราว 2,000 กม.ต่อชม. ในเวลาทีเหมาะสมกัปตันเบิร์ดได้บังคับเครื่องบินให้เลี้ยวไปทางซ้าย เพื่อให้เจ้าหน้าที่เทคนิคซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังของเครื่องบินเติมน้ำมันทางอากาศสามารถเติมน้ำมันให้เครื่องบินรบทั้ง 4 ลำได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง การประสานงานที่สมบูรณ์แบบของลูกเรือยามเผชิญหน้ากับอันตราย ยังผลให้ไม่เกิดความหายนะ และเครื่องบินทั้งหมดบินกลับฐานทัพอย่างปลอดภัย

ทำไมผู้คนยอมทิ้งความสนใจส่วนตัวและความปลอดภัยเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า? ทำไมกัปตันเบิร์ดและลูกเรือไม่ลังเลที่จะรับสายที่ทำให้พวกเขาตกในอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น? คำตอบนี้เกี่ยวข้องกับลักษณะการเป็นผู้นำที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ความไว้วางใจ ทั้งนี้ ความไว้วางใจเป็นองค์ประกอบหลักที่ลักษณะและทักษะความเป็นผู้นำอื่นๆทั้งหมดต้องพึ่งพา
ความไว้วางใจสำคัญอย่างไร? ผลการศึกษาหลายฉบับแสดงให้เห็นว่าความไว้วางใจของพนักงานสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับผลประกอบการทางการเงินของบริษัท ผลผลิตแรงงาน และคุณภาพการบริการ นักเขียนชื่อดัง สตีเฟน เอ็ม.อาร์. โควีย์ อธิบายว่าความไว้วางใจสูงช่วยเพิ่มความเร็วในการดำเนินธุรกิจและลดต้นทุน แต่จากการสำรวจคนงานในสหรัฐ พบว่า มีเพียงประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่เชื่อมั่นในผู้นำระดับสูงของตัวเอง การสำรวจฉบับหนึ่ง พบว่า 45% ของกลุ่มตัวอย่างบ่งชี้ว่าการขาดความไว้วางใจเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขา ผลการศึกษาของ เดอะโกลบอล เวิลด์ แวลูส์ เซอร์เวย์ ซึ่งทำการเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปี 2524 โดยเครือข่ายนักวิทยาศาสตร์ทางสังคมในเกือบ 100 ประเทศทั่วโลก แสดงให้เห็นว่า หลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย ประสบกับปัญหาที่เกิดจากระดับความไว้วางใจทางสังคมต่ำ ผลจากการตอบแบบสอบถามเรื่อง“โดยทั่วไป ท่านคิดว่าคนส่วนใหญ่ไว้ใจได้หรือคิดว่าท่านต้องระวังเวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น?” ซึ่งเก็บข้อมูลระหว่างปี 2553-2557 พบว่า มีคนไทยเพียง 32%เท่านั้นที่คิดว่า”คนส่วนใหญ่”ไว้ใจได้ ขณะที่กว่า 66% บอกว่าจำเป็นต้องระวังเป็นพิเศษ การขาดความไว้วางใจแสดงออกในกฎหมายหลายฉบับของรัฐบาลที่บัญญัติขึ้นเพื่อธุรกิจต่างๆ ตัวอย่างเช่น ส่วนหนึ่งของกฎหมาย Sarbanes-Oxley ของสหรัฐอเมริกา ในปี 2545 ซึ่งได้รับการโหวตผ่านเพื่อตอบสนองโดยตรงต่อการดำเนินคดีร้ายแรงที่เกิดจากการทุจริตและการทำผิดหน้าที่ทรัสตี มีการประเมินว่าสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา 35 พันล้านดอลลาร์เมื่อปี 2550 เมื่อพนักงานไม่เชื่อใจเจ้านายตัวเอง เมื่อผู้นำไม่ไว้ใจผู้ติดตาม เมื่อรัฐบาลไม่เชื่อมั่นบริษัทต่างๆ เมื่อองค์กรเอกชนไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อนั้นสังคมและเศรษฐกิจจะเจอกับปัญหา
ผู้เขียนและวิทยากร ไซมอน ซิเน็ค เล่าถึงเรื่องราวที่ทรงพลังในการเป็นผู้นำ ความภักดีและความไว้วางใจ ซึ่งคล้ายกับเรื่องลูกเรือของกัปตันเบิร์ด ในการบรรยายเรื่อง “ทำไมผู้นำที่ดีทำให้คุณรู้สึกปลอดภัย” โดยเขาอธิบายว่าทำไม กัปตันวิลเลียม สเวนสันของกองทัพบกสหรัฐฯถึงได้ the Medal of Honor ซึ่งเป็นเหรียญสูงสุดของกองทัพ จากคำสดุดีที่กล่าวถึงการได้เหรียญของเขาบรรยายไว้ว่า กัปตันสเวนสัน “โดดเด่นด้วยการกระทำที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวที่เสี่ยงชีวิตของเขาเหนือกว่าหน้าที่ ขณะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของตำรวจตระเวณชายแดนแห่งชาติอัฟกานิสถาน” นำทีมสู้รบซึ่งถูกล้อมและโจมตีโดยกองกำลังที่เหนือกว่า กัปตันสเวนสันเผชิญหน้ากับศัตรูหลายครั้งเพื่อช่วยเหลือและอพยพกองกำลังของเขา ซิเน็คได้ตั้งคำถามต่อผู้นำการสู้รบที่โดดเด่นเหมือนกัปตันสเวนสันอีกหลายคน ว่า “ทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั้น?” และพบว่าคำตอบของทุกคนกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของข้อความที่กินใจอันหนึ่งว่า “เพราะพวกเขาจะทำเพื่อผมเหมือนกัน”
กัปตันวิลเลียม สเวนสัน ช่วยเหลือและอพยพกองกำลังของเขา
การสร้างสิ่งแวดล้อมที่มีความเชื่อใจซึ่งกันและกัน ซึ่งผู้นำให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและความสนใจของทีมมากกว่าของตัวเอง เป็นกุญแจสำคัญในการเป็นผู้นำทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นทางทหาร ทางธุรกิจ หรือครอบครัว แต่ก็ไม่ง่าย เหมือนที่ซิเน็คบอกไว้ คุณไม่สามารถบอกให้ทุกคน”เชื่อใจคุณ” แล้วคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นทันที เพราะความไว้วางใจขึ้นอยู่กับความรู้สึก ประสบการณ์และเหตุผล แต่คุณสามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจได้ ด้วยการทำให้เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกคุณ สร้าง “บัญชีความเชื่อใจ”กับเหล่าผู้นำ เพื่อนร่วมงาน และผู้ติดตามของคุณ นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้ความรู้ทางด้านเคมีของร่างกายและจิตใจมนุษย์เพื่อสร้างความไว้วางใจให้มากขึ้นทั้งในที่ทำงานและครอบครัว เราจะสำรวจแนวคิดเหล่านี้ในบทความต่อไป โปรดติดตาม!
แปลและเรียบเรียง : อาริยะ ชิตวงค์
Copyright © 2017 by Robert Cummings